บทนำ
เมื่อกล่าวถึงเพศ (Sex ) แน่นอนว่าหลายคนคงนึกถึงหญิงและชาย ซึ่งนั้นหมายถึงลักษณะทางสรีระหรือชีวภาพแบ่งหญิงและชายออกจากกัน นอกเหนือจากสรีระแล้ววิธีคิดก็มีความแตกต่างกันด้วย ดังจะเห็นได้จากนิตยสาร ชื่อดังไทม์ ฉบับเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2549 กล่าวเน้นให้เห็นความเชื่อดังกล่าวข้างต้น ซึ่งก็กลายมาเป็นข้อจำกัดบางเรื่องของสาวๆและแม่บ้านทั้งหลาย ผู้เคยชินกับการที่ตัวเองมีความสามารถในการจัดการกับปัญหาต่างๆในบ้าน และหรือนอกบ้าน (ในที่ทำงาน)ได้อย่างละเมียดละไม เรียนรู้เรื่องภาษาได้อย่างรวดเร็ว มีทักษะด้านความจำที่เหนือกว่าหนุ่มๆหรือพ่อบ้านได้อย่างเป็นจินตภาพ แตกต่างจากหนุ่มๆหรือพ่อบ้านที่มักจะขาดทักษะในการแก้ปัญหาที่มีรายละเอียดมาก (หรือเมินในการจดจำเรื่องราวต่างๆ) แต่มีความถนัดในเรื่องวิศวะอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องยนต์กลไก เพราะมีพื้นฐานทักษะทางคณิตศาสตร์ การบวกลบคูณหารที่ดีกว่า นั่นเป็นเพราะว่าโครงสร้างทางสมองของเพศหญิงแตกต่างจากสมองของเพศชาย
ด้วยการแบ่งนี้ทำให้เพศเป็นตัวกำหนดบทบาทหน้าที่ ความเป็นตัวตน ทักษะและความสัมพันธ์ระหว่างหญิงและชาย ให้มีบทบาทหน้าที่ที่แตกต่างกัน อาทิ เช่น พัฒนาการของบทบาทของเด็กหญิงในสมัยใหม่ยิ่งซับซ้อนมากขึ้น ในด้านหนึ่งเด็กหญิงจะไปโรงเรียนเพื่อเตรียมตัวอยู่ในสังคมและวิทยาการที่ซับซ้อน แต่สิ่งที่ยังอยู่ในจิตไร้สำนึกของเด็กหญิงที่ได้รับการสอนจากแม่คือ ความเป็นผู้หญิง การรักสวย รักงาม ความเป็นแม่บ้านแม่เรือน ผู้หญิงที่ดีคือเพศที่อ่อนแอ ที่สามารถใช้น้ำตาลบล้างความผิด
หรือความรู้สึกผิด นอกจากนั้นความเป็นเมียและเป็นแม่ยังพันธนาการผู้หญิงให้แสดงบทบาทเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ในขณะที่การดำเนินชีวิตของเด็กชายก็ไม่ต่างกันคือการไปโรงเรียน เพื่อออกสู่สังคม แต่เด็กชายจะสามารถสร้างบทบาทของตัวเอง หรือสามารถกลายเป็นชายหนุ่มที่มีพื้นที่ของตัวเอง โดยที่ไม่ได้ผูกโยงหรือยึดติดกับบทบาทของความเป็นพ่อ หรือสามี เหมือนที่ผู้หญิงถูกตรึงด้วยวัฒนธรรม
(ปรานี วงษ์เทศ. (2544) :72-73)
โครงสร้างทางกายภาพที่ไม่เหมือนกันทำให้หญิงและชายมีความต้องการพัฒนาความสามารถของตนในการประกบอาชีพ ที่แตกต่างกัน เพื่อยกระดับความสามารถให้มีความเสมอภาค หรือเท่าเทียมกัน